วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

13 สัตว์น้ำจืดที่น่ากลัวที่สุด


1. ปิรันยา 
เจ้าปลาที่มาชื่อเสียงในเรื่องเขี้ยวแหลมๆ และการกินน่ากลัว เหล่าปิรันย่านั้นอาศัยอยู่ในแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้ เจ้าปลากินทั้งเนื้อและสัตว์เหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในเรื่องความดุร้าย การเข้าโจมตีคนของปิรันย่านั้นจะไม่ค่อยเกิดขึ้นถึงแม้ว่าในอดีตจะมีเหล่านักสำรวจจะเข้าไปมากมายก็ตาม ปิรันย่านั้นคือสัตว์กินซากและนักล่าที่สำคัญในแม่น้ำบ้านเกิด ซึ่งพวกมันก็มักจะกินกันเองเมื่ออาหารมีน้อย ปิรันย่านั้นแบ่งออกได้มากมายหลายสปีชีส์ ซึ่งทุกตัวมีความยาวประมาณ 30-60 ซม.






2. ปลาไหลไฟฟ้า 
ปลาไหลไฟฟ้า (Electrophorus electricus) นั้นมีบ้านเกิดอยู่ในแม่น้ำอะเมซอนแป่งอเมริกาใต้ พวกมันเป็ญาติใกล้ชิดกับปลาดุกมากกว่าปลาไหลถึงแม้ว่าจะมีหน้าเหมือนๆ กันก็ตาม ปลาไหลไฟฟ้าล่าเหยื่อและป้องกันตัวเองโดยกระแสไฟฟ้าแรงสูงถึง 500 โวลท์ที่สามารถฆ่าคนได้  พวกมันสามารถโผล่ขึ้นเหนือน้ำมาหุบอากาศได้ด้วยอวัยวะภายพิเศษ 





3. ปลาเสือ 
เจ้านี่มีถิ่นที่อยู่ในแอฟริกา ปลาเสือนั้นคือนักล่าน่ากลัวที่เต็มไปด้วยฟันแหลมๆ เจ้านี่มักจะล่าเป็นฝูงและในบางครั้งก็จะกินสัตว์ขนาดใหญ่ปลาเสือนั้นเป็นปลาบิ๊กบอสสำหรับนักตกปลาซึ่งพวกมันหนักได้ถึง 50 กก.






4. จระเข้แม่น้ำไนล์ 
เจ้าสัตว์เลื้อยคลานที่พบได้ทั่วไปในแอฟริกา (เห็นกันบ่อยๆ ในสารคดี) จระเข้แม่น้ำไนล์คือหนึ่งในสัตว์ที่ดุร้ายและน่ากลัวที่สุดในโลกปกติแล้วตัวผู้จะยาวตั้งแต่ 3.5-5 เมตรแต่ในบางครั้งก็เกิน 5.5 เมตร เจ้าจระเข้เหล่านี้จะเข้าโจมตีอะไรก็ตามที่มีขนาดเท่าๆ กันเหรือเล็กกว่า ในบางครั้งพวกมันก็ล่าเป็นฝูงซึ่งทำให้สามารถล่าสัตว์ขนาดเท่าๆ กับฮิปโปหรือแรดได้ ในบางครั้งจระเข้แม่น้ำไนล์ก็จะล่าคนกิน ซึ่งความตายจากจระเข้นั้นนับเป็นจำนวนในหลักร้อย-หลักพันต่อปี ถึงแม้ว่าเจ้านี้จะดูน่ากลัว พวกมันก็ไม่สามารถรอดพ้นความละโมบและอาวุธของมนุษย์ไปได้ จระเข้แม่น้ำไนล์นั้นถูกมนุษย์ล่าเพื่อเอาหนังจนจำนวนในปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 250,000-500,000 ตัว 





5. ปลาชะโด 
ปลาชะโดมีความยาวได้ถึง 1 เมตร พวกมันกินสัตว์มีกระดูกสันหลังอย่างกบและปลาเป็นอาหาร แต่อย่างไรก็ตามเจ้านี้จะเข้าโจมตีอะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวได้ ปลาชะโดนั้นสามารถขึ้นมาฮุบอากาศและสามารถมีชีวิตรอดนอกน้ำได้นานเป็นถึง 4 วัน ซึ่งทำให้พวกมันอยู่รอดได้นานขึ้นโดยการฝังตัวในโคลน ปลาชะโดนั้นเป็นปลารสเลิศและบางคนก็เลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งเจ้านี้ก็มีชื่อเสียงในวงการไม่น้อยในเรื่องความดุ 






6. เต่ามาทามาท่า 
เต่ามาทามาท่า (Chelus fimbriatus) คือเต่าน้ำจืดที่สามารถพบได้ในแม่น้ำอะเมซอนและโอริโนโค่ในทวีปอเมริกาใต้ เจ้าเต่าหน้าตาประหลาดนี้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในน้ำตื้นๆซึ่งมันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ เต่ามาทามาท่ามีขนาดค่อนใหญ่ประมาณ 15 กก. พวกมันกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและปลาเป็นอาหาร เจ้านีjไม่เป็นอันตรายอยู่มนุษย์ถึงแม้ว่าจะมีหน้าตาขัดกันก็ตาม 



7. ปลาบึก 
ปลาบึกคือปลาน้ำจืดในตระกูลปลาดูกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พวกมันมีขนาดถึง 3.2 เมตร หนักถึง 300 กก.และ มีอายุยาวนานถึง 60 ปี ในอดีตปลาบึกพบได้มากมายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในปัจจุบันพวกมันเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างมากเพราะมนุษย์ที่ไปทำลายถิ่นที่อยู่ 






8. แมงมุมระฆังดำน้ำ 
แมงมุมระฆังดำน้ำ (Argyroneta aquatica) คือแมงมุมสปีชีส์เดียวที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในน้ำ เจ้านี่ต้องหายใจเอาอากาศเพราะความที่เป็นแมงมุม แต่มันก็สามารถสร้างอากาศขึ้นมาเองได้โดยการสร้างฟองน้ำที่จะถูกแบกไปไหนมาไหนด้วยขนที่ขาและท้อง เจ้าแมงมุมนั้นจะต้องขึ้นสู่ผิวน้ำเป็นครั้งคราวเพื่อเติมอากาศ แมงมุมระฆังดำน้ำนั้นอาศัยอยู่ในยุโรปทางเหนือและตอนกลาง และเอเชียเหนือ ตัวผู้ในสปีชีส์นี้มีขนาดใหญ่กว่า (ปกติแล้วแมงมุมตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่า) การกัดของแมงมุมระฆังดำน้ำนั้นเจ็บปวดไม่เบาและทำให้เเหยื่อมีไข้ 






9. อนาคอนด้า 
อนาคอนด้านั้นคือหนึ่งในงูขนาดใหญ่ที่สุดในโลกพวกมันอาศัยอยู่ตามแม่น้ำและพื้นที่แชะในอเมริกาใต้คำว่า “อนาคอนด้า” นั้นมาจากคำในภาษาทมิฬ “อนาอิโคยร่า” ซึ่งแปลว่านักฆ่าช้างเจ้างูนี้กินปลา, นก, สัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ, และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเล็กเป็นอาหาร แต่ในบางครั้งพวกมันก็อาจจะโผล่มากินปศุสัตว์หรือแม้แต่คน อนาคอนด้านั้นเป็นงูที่ฆ่าเหยื่อด้วยการรัดและจะกินเหยื่อลงท้องทั้งตัว 






10. กระเบนราหูน้ำจืด 
กระเบนราหูน้ำจืดอาศัยอยู่ในแม่น้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย พวกมันสามารถยาวได้ถึง 5 เมตร และหนักถึง 600 กก. เจ้าปลานี้เป็นปลาที่คนไม่ค่อยรู้จักและก็หาได้ไม่ง่ายเพราะพวกมันมักจะฝังตัวอยู่ในพื้นแม่น้ำ กระเบนราหูน้ำจืดกินหอยและปูเป็นอาหาร ซึ่งพวกมันก็ล่าโดยการตรวจจับกระแสไฟฟ้าที่เหยื่อปล่อยออกมา เมื่อโดนรบกวน เจ้านี้จะใช้หนามตรงหางที่เต็มไปด้วยพิษเป็นอาวุธ ซึ่งหนามนี้ยาวได้ถึง 38 ซม.






11. ปลาแวมไพร์ 
ปลาแวมไพร์หรือพายารา (Hydrolycus scomberoides) คือปลานักล่ากินเนื้อที่คนไม่ค่อยรู้จักซึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำอะเมซอนและแม่น้ำโอริโนโค่ พวกมันกินปลาขนาดเล็กกว่า โดยเฉพาะปิรันย่าเป็นอาหาร ซึ่งเจ้านี่จะล่าเหยื่อด้วยการใช้ฟันแหลมๆ ที่สามารถยาวได้ถึง 15 ซม.แทง






12. แคนดีรู 
แคนดีรูนั้นคือปลาดุกพาราไซส์ในวงศ์ Trichomycteridae พวกมันกินเหงือกของปลาขนาดใหญ่กว่าเป็นอาหาร เจ้าปลาตัวกระจิ๋วนี้คงเป็นปลาที่คนกลัวกันมาที่สุด...เพราะอะไรน่ะหรอ???...เพราะเจ้านี้ชอบว่ายมากับปัสสาวะน่ะสิ...แล้วมันน่ากลัวอย่างไรล่ะ???...ลองสมมุติว่าคุณ (ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย) ลงเล่นน้ำในถิ่นเจ้าแคนดีรูและเกิดอยากปล่อยขึ้นมา ปัสสาวะของคุณนั้นจะดึงดูดเจ้านี่เข้ามาและมันก็จะว่ายตรงเข้าสู่รูปล่อยปัสสาวะนั่นแหละ ถ้าเจ้านี้มุดเข้ารูของคุณ คุณก็มี 3 ทางเลือกก็คือ (1) ดึงมันออกและตายจากการเวียเลือด เพราะกระดูกสันหลังของเจ้านี้โค้งไปด้านหลังซึ่งทำให้ครูดไปกับผนังรูของคุณ (2) ปล่อยไว้อย่างนั้นและเสี่ยงกับความตายจากการติดเชื้อเพราะหลังจากที่คุณออกจากน้ำ เจ้าปลานีjก็จะตาย (แหมก็มันเป็นปลาที่ต้องอาศัยในน้ำนี่เนาะ) หรือ (3) ไปผ่าออก ซึ่งวิธีการนี้ก็คงจะเจ็บไม่น้อยสำหรับคุณผู้ชาย 



ที่มา :  http://board.postjung.com/709686.html 

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

เปรียบเทียบ Toyota Vios และ Chevrolet Sonic

     วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบรถขนาดซับคอมแพคท์ ที่เป็นที่นิยมจากคนไทยหลายต่อหลายคน เนื่องจากเป็นรถที่ออกแบบให้มีความคล่องตัวในเมืองสูง ดูแลรักษาง่าย ประหยัดเชื้อเพลิง และตั้งราคาในระดับที่คนที่เพิ่งเริ่มทำงาน พอจะจับจองเป็นเจ้าของได้
     คราวนี้เราขอเปรียบเทียบเจ้าตลาดอย่าง Toyota Vios ที่ครองใจคนไทยหลายต่อหลายคน กับChevrolet Sonic ที่หลายคนอาจยังลังเลใจ แต่เอาจริงๆมันมีดีกว่าที่คิด

     บทความต่อไปนี้จะกล่าวถึง Toyota Vios รุ่น 1.5 S และ Chevrolet Sonic 1.6 LTZ E85 ซีดาน ครับ

ด้านสมรรถนะ
     Toyota Vios ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร VVT-i ซึ่งเป็นบล็อคเดียวกับรุ่นที่แล้ว ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 1.44 ก.ก.เมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ระบบเบรคหน้า-หลังแบบดิสก์ สามารถเติม E20 ได้
     Chevrolet Sonic ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Double CVC ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 15.8 ก.ก.เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมปุ่ม +/- บริเวณหัวเกียร์ สามารถเเติม E85 ได้
     Sanook!Auto ถึงแม้ว่าตัวเลขสมรรถนะของโซนิคจะเยอะว่าวีออสอยู่บ้าง แต่อย่าลืมว่าน้ำหนักตัวของโซนิคก็เยอะไม่ใช่ย่อย ทำให้อัตราเร่งมาแบบเรื่อยๆ ไมได้พุ่งปรู๊ดปร๊าด ในขณะที่วีออสให้ตีนต้นที่จัดกว่า ทำให้การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งถือว่าดีพอสมควร แต่เกียร์เพียง 4 สปีด ทำให้การเดินทางไกล ต้องใช้รอบเครื่องมากกว่า แต่โซนิคกลับได้เปรียบเรื่อง เติม E85 ได้ ซึ่งทำให้มีค่าเชื้อเพลิงถูกกว่า

ภายนอก
     Toyota Vios ได้รับการออกแบบหน้าตาใหม่หมดจด โดยรวมดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม มีไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ตามสมัยนิยม มากับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
     Chevrolet Sonic โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่ดูแปลกตา ออกแบบเน้นความเป็นสปอร์ต แต่ยังดูเรียบๆไปหน่อย ใช้ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
     Sanook!Auto โซนิคเปิดตัวมานานพอดูแล้ว ออกแบบได้สปอร์ตดี แต่ก็ยังดูติดภาพของ Aveo อย่างบอกไม่ถูก
ขณะที่วีออสสลัดคราบของรุ่นก่อนทิ้งไปเลย ออกแบบได้ฉีกแนว ซึ่งข้อนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัว

ภายใน
     Toyota Vios ภายในถูกออกแบบเน้นความหรูหรากว่าตัวก่อน มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เบาะนั่งคู่หน้าลายสปอร์ตซัพพอร์ตแผ่นหลังได้ดีกว่ารุ่นก่อน เครื่องเสียงสามารถเล่น MP3 ต่อ USB และ AUX ได้ พร้อมปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย มีฟังก์ชั่น Smart Entry และ Push Start มาให้ เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออก
     Chevrolet Sonic ภายในค่อนข้างโปร่ง เบาะนั่งให้ความกระชับดี ใช้เครื่องเสียงระบบ MyLink มีหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว สามารถเล่น USB และต่อ AUX ได้ สามารถดูหนังฟังเพลงได้ และฟังวิทยุจากอินเตอร์เน็ตได้ และสั่งงานผ่าน Siri ได้เมื่อต่อกับไอโฟน พร้อมฟังก์ชั่นการปรับแต่งตัวรถเล็กน้อย
     Sanook!Auto เน้นฟังก์ชั่นกันคนละแบบ หากอยากได้เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายอย่าง Push Start ก็คงต้องไปทางวีออส หรืออยากได้แนวไฮเทคหน่อย และชอบความบันเทิง ระบบมายลิงค์ของโซนิคจะทำให้คุณสนุกขึ้นยามรถติดไม่ใช่น้อย
ด้านการขับขี่
     Toyota Vios มีระบบ V-Control ที่อ้างว่าจะทำให้การขับขี่ดีขึ้น การขับทางไกลด้วยความเร็วสูง ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย ยังติดอาการยวบยาบอยู่ ทำให้มีอาการโคลงบ้าง เมื่อเปลี่ยนเลนกระทันหันหรือปะทะลมแรงๆ แต่หากวิ่งผ่านทางขรุขระในกรุงเทพฯ จะได้ความรู้สึกนุ่มสบาย
     Chevrolet Sonic ช่วงล่างถูกเซทมาแบบนุ่มหนึบ คือ ในช่วงความเร็วต่ำ หากต้องผ่านลูกระนาดหรือทางขรุขระอาจรู้สึกว่าช่วงล่างแข็งอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเดินทางไกล กลับให้ความนุ่ม และเกาะถนนเป็นอย่างดี
     Sanook!Auto อัตราเร่งของโซนิค 1.6 ถือว่าพอไปได้ ช่วงล่างถูกเซทมาอย่างลงตัว ให้ความมั่นคงในการขับขี่ได้ดีมากยามต้องเดินทางไกล ส่วนวีออส ให้ตีนต้นจัดจ้านกว่า แต่ช่วงล่าง V-Control ดูเหมือนจะไม่มีบทบาทอะไรมาก ให้ความรู้สึกเกาะถนนกว่าเดิม แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น

ความเห็นของ Sanook!Auto Vios เป็นรถยนต์ที่ใช้งานง่าย ไม่จุกจิก สมรรถนะพอตัว เก่งรอบด้าน พร้อมศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ในขณะที่ Sonic ให้ความรู้สึกถึงรถยนต์ที่เน้นการขับขี่เป็นหลัก เพราะจุดเด่นของช่วงล่าง ที่ให้ความมั่นใจดีทั้งในเมืองและนอกเมือง สามารถเติม E85 ได้ ขับในเมืองอืดหน่อย แต่ชื่อเสียงของศูนย์บริการก็เป็นอย่างที่ทราบกันอยู่

     เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าจะพอเป็นตัวช่วยให้คุณผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ หากเป็นไปได้ ควรทดลองขับหลายๆรุ่นก่อนตัดสินใจ เพื่อจะได้รุ่นที่ตรงใจเราที่สุดไงล่ะครับ
ที่มา sanook.com

ยักษ์ใหญ่ “โมอาย” รูปปั้นหินมหัศจรรย์แห่งเกาะอีสเตอร์

เหล่า “โมไอ” แห่งอีสเตอร์ (ภาพจาก เว็บไซต์ : Wikimedia)
       ประติมากรรมในแต่ละยุคนั้นมีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ และยิ่งเป็นประติมากรรมในยุคโบราณด้วยแล้วนั้น ก็ยิ่งมีความมหัศจรรย์เพิ่มมากขึ้นอีก เพราะแต่ละสิ่งที่เราได้เห็นนั้นมีทั้งความสวยงามที่มาพร้อมกับความอลังการ จนไม่น่าเชื่อว่าเมื่อยุคสมัยก่อนที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยช่วยนั้น เหตุใดจึงได้รังสรรค์สิ่งเหล่านั้นออกมาได้ เหล่ารูปปั้นหิน ”โมอาย” แห่งเกาะอีสเตอร์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประติมากรรมโบราณที่มีความมหัศจรรย์อยู่มากเลยที่เดียว
      
       “โมอาย”(โมอาย,โมอาอิ : Moai) เป็นชื่อเรียกของเหล่ารูปปั้นหินแห่งเกาะอีสเตอร์ รูปปั้นเหล่านี้จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์และส่วนศีรษะมีขนาดใหญ่เด่นชัด โดยรูปปั้นเหล่านี้ถูกตั้งเรียงรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ โดยเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี และห่างจากชายฝั่งไปทางทิศตะวันตกกว่า 3,600 กิโลเมตร อีกทั้งเกาะที่ใกล้เกาะอีสเตอร์มากที่สุดก็อยู่ห่างกันถึง 2,000 กิโลเมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร
รูปปั้นโมไอแบบใส่หมวก "ปูเกา" ภาพจาก เว็บไซต์ : projectavalon)
       รูปปั้นหินโมอายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวโพลิเนเชียน ซึ่งแกะสลักโมไอเหล่านี้มาจากหินถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว ที่นำมาจากปล่องภูเขาไฟราโนรารากู (Rano Raraku) ที่อยู่บนเกาะ รูปปั้นหินแต่ละอันนั้นจะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มีเอกลักษณ์เด่นอยู่ในส่วนที่เป็นศีรษะที่มีขนาดใหญ่เด่นชัด และบางตัวก็มีของประดับลักษณะคล้ายหมวกหรือมวยผมซึ่งเรียกว่า "ปูเกา" (pukao) เป็นชิ้นต่างหากอยู่บนศีรษะ แต่ละตัวนั้นมีขนาดสูงใหญ่ตั้งแต่3.5 เมตรไปจนถึงขนาด 10 เมตรและมีน้ำหนักกว่า 80 ตัน และยังมีการสำรวจพบบางแท่งที่ยังแกะไม่แล้วเสร็จ โดยมีความสูงถึง 21 เมตร หนัก 270 ตัน
แผนที่ระบุ ความห่างไกลของเกาะจากแผ่นดินใหญ่ (ภาพจาก เว็บไซต์ : Wikimedia)
       โมอาย ถือเป็นประติมากรรมยุคอดีตที่มีความมหัศจรรย์อยู่ไม่น้อย เนื่องจากวัตถุดิบ วิธีการสร้างและความมหึมาของรูปปั้นหินนั้น ต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลาเป็นอย่างมาก หลังจากสร้างเสร็จแล้วยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการเพื่อจะนำไปวางไว้ การขนย้ายโมอายซึ่งหนักและใหญ่นั้นทำอย่างไรก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ชาวพื้นเมืองนั้นมีความเชื่อว่า โมอายเหล่านี้สามารถเดินได้
รูปปั้นหินโมไอในทะเลเกาะอีสเตอร์ (ภาพจาก เว็บไซต์ : tapiture)
       และก็ยังมีคำถามที่ว่าเหตุใดชาวเกาะจึงได้แกะสลักรูปปั้นหินขนาดมหึมาขึ้นมา จนมีการตั้งข้อสันนิษฐานของเหล่านักวิทยาศาสตร์ออกมาอย่างมากมาย แต่ในตำนานของเกาะแห่งนี้ ได้เล่าว่า “หัวหน้าเผ่าซึ่งเสาะหาที่ตั้งบ้านใหม่และเขาได้พบเกาะแห่งนี้และตั้งรกราก หลังจากที่หัวหน้าเผ่าตายไปเกาะก็ได้ถูกแบ่งให้เหล่าลูกชายของเขาเพื่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ เมื่อหัวหน้าเผ่าคนใดตายไปก็มีการนำโมอายไปตั้งไว้ ณ สุสาน ชาวเกาะทั้งหลายเชื่อว่ารูปปั้นโมอายจะรักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าเหล่านั้นไว้ เพื่อให้นำสิ่งดีๆมาสู่เกาะ เช่น ฝนตก พืชพรรณสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามตำนานนี้อาจมีการบิดเบือนไปจากความจริงเนื่องจากได้มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน”
ภาพจำลองวิธีการขนยายรูปปั้นหินโมไอ (ภาพจาก เว็บไซต์ : rocking)
       อย่างไรก็ดีรูปปั้นหินโมอายได้ถูกทิ้งไว้บนเกาะแห่งนี้มาอย่างยาวนาน โดยไม่มีผู้ใดรู้จักพวกมัน จนกระทั้งในปีคริสตศักราช 1722 นักเดินชาวดัตช์ ซึ่งเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาถึงได้เดินทางมาพบเกาะนี้ ซึ่งตรงกับวันอีสเตอร์ จึงได้เรียกเกาะแห่งนี้ว่าเกาะอีสเตอร์ หลังจากการสำรวจเกาะ ก็ได้พบกับผู้อยู่อาศัยเมื่อครั้งอดีตซึ่งนั้นก็คือเหล่ารูปปั้นหินโมอาย และในเวลาต่อมาเหล่ารูปปั้นหินโมอายเหล่านี้ก็ได้เป็นที่รูปจักแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งได้ยืนท้าฟ้าฝน รอคอยให้ผู้คนได้มาเยี่ยมชมในความอลังการของประติมากรรมเมื่อครั้งอดีต และได้กลายมาเป็นความมหัศจรรย์ของเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ ที่ยังคงเป็นปริศนาให้ผู้สนใจศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

ที่มา manager.co.th

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

9 วิธีเลือกคอนโดให้โดนใจ

"คอนโด" ที่อยู่อาศัยยอดฮิต ใครๆ ก็ยอมรับว่ามันใช่ ลงตัวกับสไตล์ชีวิตเมืองมากที่สุด ทั้งในเรื่องของพื้นที่ ความสะดวกสบาย และสไตล์ที่ดูทันสมัย ทำให้เทรนด์ของการอยู่อาศัยเปลี่ยนไป ผู้คนหันมาซื้อคอนโดมากขึ้น และก็อย่างที่เห็นปัจจุบันนี้คอนโดผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีทุกมุม ทุกหัวระแหง ซึ่งปริมาณที่มาก หลากหลายก็เป็นเรื่องดี แต่การไม่รู้จะเลือกอย่างไรนี่สิเป็นปัญหา เอาล่ะ! หากคุณกำลังมองหา "คอนโด" สักหลัง แต่ไม่รู้จะเลือกยังไงให้ถูกใจล่ะก็ dealfish.co.th มีวิธีดีๆ มาแนะนำครับ...


















1. ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

การเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม เรื่องทำเลที่ตั้งต้องมาก่อนเสมอ เพราะหากเราเลือกซื้อคอนโดที่แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้แหล่งคมนาคมอย่างรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ใกล้ถนนใหญ่ มีความปลอดภัย ก็นับว่าได้เปรียบในการซื้อสำหรับอยู่เอง หรือว่าปล่อยเช่า

2. ตำแหน่งห้อง
คอนโดเดียวกันแต่ต่างชั้น ต่างตำแหน่ง ต่างขนาดก็ย่อมราคาไม่เท่ากัน ราคาขายแต่ละห้องส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ยิ่งฟลอสูงก็ยิ่งแพง เนื่องจากทัศนียภาพดีกว่า ใครอยากมองเห็นวิวสวยๆ ของเมืองใหญ่ก็ต้องยอมควักกระเป๋าทุ่มทุนกันสักนิด
3. วิวดีเป็นที่นิยม
ต้องยอมรับว่าเรื่องวิว หรือทัศนียภาพสวยงามเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อคอนโดที่สำคัญ ยิ่งถ้าได้ห้องมุมที่เห็นวิวหลายด้านก็ยิ่งดี เพราะมีมุมมองมากกว่าตำแหน่งอื่น และแม้ไม่ได้ห้องมุมก็ควรเลือกห้องที่วิวดูเปิดกว้างไม่มีตึกอื่นมาบังให้รบกวนใจ ปล. ห้องวิวดีมีผลต่อราคาซื้อ-ขายด้วย
4. ทิศ
ไม่ควรเลือกห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะจะทำให้เราต้องเผชิญกับแดดในยามบ่ายไปจนถึงตอนเย็น ทำให้ห้องร้อนอบอ้าวอยู่ไม่สบายเท่าที่ควร แนะนำว่าให้เลือกห้องที่หันด้านหน้า หรือด้านข้างไปยังทางทิศตะวันออก เพราะมีแสงแดดอุ่นๆ สาดแสงในยามเช้าและระบายความร้อนในยามบ่าย แถมยังช่วยประหยัดแอร์อีกด้วยดีกว่าเห็นๆ

5. ผู้ประกอบการ
การจะซื้อคอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ชื่อเสียงของผู้ประกอบการ หรือเจ้าของโครงการถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อ เพราะหากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็มีความได้เปรียบในเรื่องของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ แต่ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการเล็กๆ จะไม่มีคุณภาพนะครับ ให้ดูผลงานของโครงการเป็นหลักน่าจะดีกว่า
6. บริษัทผู้ก่อสร้าง
เชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้ให้ความสนใจซักเท่าใดนัก แต่บอกเลยว่าดูไว้ไม่เสียหายครับ เพราะมีประโยชน์ทีเดียว ก่อนซื้อลองสืบค้นดูว่าบริษัทใดเป็นผู้ก่อสร้างโครงการนั้นๆ หากเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงดี ผลงานเป็นที่ยอมรับ ก็อุ่นใจได้ครับว่าเราจะได้ของที่มีคุณภาพ
7. ความคุ้มค่า
ความคุ้มค่าของการซื้อคอนโดอยู่ที่วัตถุประสงค์ หากซื้อไว้เพื่อลงทุนก็ต้องดูทำเลและกลุ่มลูกค้าว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนที่จะมาเช่า ถ้าซื้อเพื่ออยู่เองก็ต้องดูงบประมาณเป็นสำคัญ อ้อแล้วอย่าลืมดูค่าใช้จ่ายส่วนกลางด้วยว่าแพงเกินไปไหม
8. ที่จอดรถ
อันนี้ไม่ดูไม่ได้ นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ที่ต้องมียานพาหนะส่วนตัว หากที่จอดรถน้อย ไม่เพียงพอแล้วละก็ความยากลำบากตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้นเช็คเรื่องที่จอดรถด้วยจะเป็นการดีที่สุด
9. ความชอบส่วนตัว
ไม่ยิ่งใหญ่แต่สำคัญสำหรับความชอบส่วนตัว เพราะแม้ปัจจัยอื่นๆ มีพร้อม ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ ทำเล ชื่อเสียงของโครงการ ฯลฯ แต่ถ้าสไตล์มันไม่ใช่ก็จบครับ จึงไม่แปลกอะไรที่คอนโดในปัจจุบันหันมาเน้นให้ความสำคัญของรูปแบบและดีไซน์ เพราะมันสะท้อนตัวตนที่ใช่ของผู้อยู่อาศัยได้นั่นเอง
ใครที่กำลังมองหาคอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์อยู่ตอนนี้ ลองนำวิธีดีๆ ไปคิดพิจารณาดูครับ เผื่อจะช่วยให้เลือกได้ง่าย และถูกใจ ไม่ต้องมานั่งเสียดายเงินในภายหลัง
ที่มา sanook.com

อยากรู้ไหม? หนุ่มโสดรวยชอบ“ออกเดท“กับผู้หญิงแบบไหน-ขณะที่หญิงโสดรวย“ตรงกันข้าม“

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 กันยายนว่า "เว็บไซต์ MillionaireMatch.com" ทำผลการศึกษามหาเศรษฐีที่มีสถานภาพโสดจำนวน 15,000 คน พบว่า มหาเศรษฐีที่เป็นชาย จะชอบออกเดทกับผู้หญิงที่มีฐานะรวยน้อยกว่าเขา ขณะที่ผู้หญิงที่ร่ำรวย หรือเศรษฐีนี จะชอบออกเดทกับที่ร่ำรวยเท่า ๆ กับพวกเธอ หรือมีสถานะทางการเงินเท่าเทียมกัน
ผลการศึกษายังระบุด้วยว่า คนรวยและโสดด้วยจำนวนมากไม่ต้องการออกเดทกับผู้หญิงที่มีลักษณะเป็น"เจ้านาย"หรือมีสถานะ"ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่จะชอบผู้หญิงที่รวยน้อยกว่าเขา เพราะคนกลุ่มนี้จะชอบผู้หญิงที่"ยอมรับ เห็นคุณค่า และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ" และชอบผู้หญิงที่อ่อนวัยกว่า และมีเสน่ห์ ส่วนคนรวยที่เป็นหญิง คนกลุ่มนี้จะละเอียดกว่า โดย 82 เปอร์เซนต์บอกว่า พวกเธอจะต้องทำข้อตกลงก่อนการสมรส หากจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เธอเล็งจะเป็นคู่ครอง

ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เหตุผลหนึ่งที่คนรวยเพศชายไม่ต้องการออกเดทกับผู้หญิงที่ร่ำรวยเพราะพวกเขาต้องการคู่ที่ดูแลเขา ซึ่งผลสำรวจนี้พบว่า เป็นเรื่องน่าทึ่งที่ได้เห็นว่า คนรวยเพศชายกลับไม่ต้องการคนรวยด้วยกันเป็นคู่ครอง แต่สำหรับผู้หญิง กลับเป็นสิ่งตรงข้าม
ที่มา sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ผู้ชายหมื่นล้าน : ตัน ภาสกรนที

ตัน ภาสกรนที
ความรักในการท่องเที่ยวและความคลั่งไคล้ในประเทศญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจให้กับ ""
สร้างสรรค์ความเป็นผู้นำและผู้บุกเบิกในแต่ละธุรกิจตั้งแต่ภัตตาคารบุฟเฟตต์อาหารญี่ปุ่น เวดดิ้งสตูดิโอ ชาเขียว ฯลฯ โดยไม่จำเป็นต้องพลิกตำราธุรกิจที่ซับซ้อน เพียงแค่เป็นคนช่างสังเกตุ จดจำทุกสิ่งจากประสบการณ์และทำธุรกิจด้วยแนวคิดของความเป็น "ผู้ซื้อ" มากกว่าคิดแบบ "ผู้ขาย" บวกด้วย "ความรัก" ที่มีต่อสิ่งนั้น
"ส่วนตัวผมไม่ชอบสะสมอะไร ไม่มีงานอดิเรกอื่นนอกจากกินกับเที่ยว" ตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด เล่าให้ฟังในการสนทนาสบายๆ ที่ร้านช้อกโกแลต Melt Me อารีน่าเท็น ทองหล่อ
ด้วยความที่ภรรยาเป็นคนชอบทานอาหารทะเล ทำให้สถานที่เที่ยวสุดโปรดย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นชายทะเล อย่างที่ไปลงทุนสร้างโรงแรมวิลล่า มาร๊อค ที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่จริงแล้วต้องการซื้อเป็นที่พักอาศัยแต่ทำเลดังกล่าวมีพื้นที่กว้างจึงสร้างหลายห้อง ทำไปทำจึงกลายเป็นโรงแรมขนาด 15 ห้องรวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ผู้คนต้องแวะไปถ่ายรูป
ส่วนการเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ สถานที่สุดโปรด แน่นอนว่าต้องเป็นประเทศ "ญี่ปุ่น" ด้วยความที่มีความชื่นชอบประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นต้นซากุระ ภาพยนต์การ์ตูน ฯลฯ
เมื่อมีโอกาสได้เดินทางไปก็เกิดความประทับใจทั้งพักผ่อนส่วนตัวและไปเพื่อหน้าที่การงาน เรียกได้ว่ามีความเป็นญี่ปุ่นตั้งแต่ตื่นนอน ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่อารีน่าเท็น ซอยทองหล่อจะปลูกต้นไม้สามต้น คือ ชมภูพันทิพย์ ชัยพฤกษ์ และกัลปพฤกษ์ ซึ่งทั้งสามต้นนี้ต่างเป็นสายพันธ์ของต้นซากุระทั้งสิ้น อีกไม่นานเมื่อต้นที่ปลูกไว้โตเต็มที่ในช่วงเดือนเมษายนและสิ้นปีจะได้เห็นการออกดอกที่คล้ายกับซากุระเต็มพื้นที่
ตัน บอกว่าแม้จะเป็นคนท่องเที่ยวเยอะแต่ทุกครั้งที่ไปจะไม่เพียงแค่เที่ยวเฉยๆ และจบไป แต่จะจดจำสิ่งที่เห็นและเกิดขึ้นนำมาดัดแปลงพัฒนาให้เป็นธุรกิจซึ่งเกือบธุรกิจที่เกิดขึ้นจะมาจากความเป็นคนช่างสังเกตทุกครั้ง
"ผมคิดว่าคนเราคงไม่สามารถคิดอะไรเองได้หมดทุกอย่าง ผมจึงนำสิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสและได้นำมาพัฒนาให้ดีกว่าเดิมและทุกครั้งที่ผมทำก็จะต้องมีความสุขด้วยทุกครั้ง"
เขาเล่าถึงหลายอย่างที่ทำซึ่งเริ่มต้นจากการเดินทางไปเห็น แล้วก่อให้เกิดธุรกิจขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางไปประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง จนกระทั่งถึงประเทศต้นกำเนิดคือไต้หวันซึ่งมีถนนสำหรับเวดดิ้งสตูดิโอโดยเฉพาะ จากนั้นเขาได้ลงทุนนำธุรกิจถ่ายภาพแต่งงานมาเปิดในประเทศไทยเมื่อ 18 ปีที่แล้ว จนกระทั่งได้รับความนิยมและสร้างให้ทองหล่อเป็นถนนสำหรับถ่ายภาพแต่งงานโดยเฉพาะ
หรือการได้ดื่มชาเขียวในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นจนได้ทดลองนำมาจำหน่ายในภัตตาคารโออิชิจนกระทั่งสร้างกระแสชาเขียวฟีเวอร์และเป็นสัญลักษณ์ของตันจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงช้อกโกแลต Melt Me ที่ตัน เห็นคนไทยเดินถือช้อกโกแลตดังกล่าวในสนามบินจำนวนมาก จนลองชิมดูแล้วเกิดความประทับใจ จนสุดท้ายต้องลงทุนบินไปเรียนถึงต้นตำหรับ คือ เกาะฮอกไกโดเพื่อนำมาทำทานเองและต่อยอดมาจนเป็นธุรกิจในที่สุด เป็นต้น
ตัน เปรยว่าอนาคตถ้าเขาจะขยายธุรกิจต่อไม่ว่าจะเป็นอาหารหรืออื่นๆ เช่นคอนโดมิเนียมก็น่าจะยังมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแน่นอน คงจะไปทำแนวอื่นไม่ได้เพราะจะไม่ใช่ตัวของตัวเอง ก่อนจะฝากข้อคิดสำคัญว่า
"ถ้าจะทำอะไรให้ได้ดีต้องอยู่กับมันบ่อยๆและจะค่อยซึมซับ"
อย่างที่ตนอยู่กับความเป็นญี่ปุ่นมาทั้งชีวิตและสุดท้ายก็สามารถสร้างเป็นธุรกิจด้วยและมีความสุขที่ได้อยู่กับมันด้วย สิ่งที่อยากจะบอกอีกคือธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัส จินตนาการ รับประทาน ส่วนตัวเป็นคนเรียนไม่สูงแต่ชอบจดจำสิ่งรอบตัวมาศึกษา และไม่เคยทำตามตำราธุรกิจเล่มไหน อาศัยเพียงแนวคิดว่า "เราต้องทำตัวเป็นคนซื้อ อย่าคิดว่าเราเป็นคนขายของ" เราจะมีมุมมองธุรกิจที่กว้างขึ้น
ก่อนจบบทสนทนาตันได้ฝากข้อคิดในการทำธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจว่า "ตัวผมเองเริ่มต้นธุรกิจจากแผงหนังสือ ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ และค่อยๆไต่มาจนถึงวันนี้ ทุกอย่างต้องมีบันไดก้าวแรก การทำธุรกิจถ้าเราคิดแต่ว่าต้องมีความรู้เงินทุนก่อนถึงจะทำ สุดท้ายเราจะไม่ได้ทำเสียที ขอให้ลงมือทำเลยอย่ากลัวผิดพลาด ถ้าพลาดก็เหมือนเป็นการสอนเรา ถ้าเจ็บตั้งแต่ตอนธุรกิจยังเล็กๆ มันจะเป็นประสบการณ์ให้เรา แต่ถ้าเราสำเร็จตั้งแต่เริ่มอาจทำให้เราประมาท เราไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ แต่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้จากการเรียนรู้รอบตัว ทำให้มากกว่าคนอื่น ติดตามกัดไม่ปล่อย สักวันก็จะสำเร็จ" ตัน ให้ข้อคิดทางธุรกิจทิ้งท้าย

ประวัติ ตัน ภาสกรนที
ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2502 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีฐานะปานกลาง โดยบิดาของเขาอพยพมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และตั้งรกรากที่จังหวัดชลบุรี ตันจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 3 และเริ่มทำงานแรกเป็นพนักงานแบกของ ซึ่งมีค่าแรง 700 บาท และหันมาเป็นเจ้าของแผงหนังสือที่ชลบุรี และเริ่มต้นขยายกิจการไปซื้อห้องแถว จนกลายเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2542 ตันเริ่มต้นธุรกิจภัตตาคารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ "โออิชิ" และขยายมาทำธุรกิจเครื่องดื่ม คือชาเขียวโออิชิ และน้ำผลไม้ อะมิโน โอเค โดยที่กลุ่มธุรกิจนี้ของเขา ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆ อย่างสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานเป็นต้น
เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 เขาขายหุ้นใหญ่ของบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่เขามีอยู่ให้กับ บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจ
และในที่สุดเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 เขาก็ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บมจ.โออิชิกรุ๊ป ในวันเดียวกันนั้น ตันก็จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ โดยให้ชื่อว่า บริษัท ไม่ตัน จำกัด

ขอบคุณข้อมูลจาก 
K SME Inspired
ขอบคุณภาพจาก 
FB: ตัน ภาสกรนที

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

(ชมภาพ) ชุมนุมใหญ่! ลูกแพนด้ายักษ์รวมตัวถ่ายรูปหมู่กลางเมืองเฉิงตู


(ภาพ - รอยเตอร์ส)
       เอเยนซี - สื่อจีนเผยแพร่ภาพลูกแพนด้ายักษ์นับสิบตัวที่นอนเรียงรายรวมกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ชักภาพหมู่เก็บไว้ ขณะที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวพากันยืนดูพร้อมอมยิ้มถึงความน่ารักน่าหยิกของเจ้าหมีขนปุยตัวน้อยเหล่านี้
      
       รายงานข่าว (23 ก.ย.) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์แพนด้ายักษ์ เมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ลำเลียงลูกแพนด้ายักษ์หลากเพศหลายวัยจำนวน 14 ตัว ออกมานอนรวมกัน เพื่อเตรียมถ่ายรูปหมู่เก็บไว้เป็นข้อมูลหลักฐาน ซึ่งลูกแพนด้าทั้งหมดที่เพิ่งลืมตาดูโลกในปีนี้ล้วนเกิดจากคู่พ่อแม่แพนด้าที่อาศัยอยู่ภายในศูนย์ฯ
      
       ปัจจุบันศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์แพนด้ายักษ์แห่งนครเฉิงตู (Chengdu Research Base of Giant Panda Breeding) มีแพนด้ายักษ์อยู่ในการดูแลแล้วกว่า 128 ตัว ทำให้ที่นี้กลายเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงและอนุรักษ์แพนด้ายักษ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
      
       ทั้งนี้ แพนด้ายักษ์ถูกจัดอยู่ในบัญชีกลุ่มสัตว์ป่าที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยมีประชากรแพนด้ายักษ์หลงเหลือในป่าธรรมชาติราว 1,000 ตัวเท่านั้น และอีกประมาณ 150 ตัว ที่กระจายตัวอยู่ตามสวนสัตว์และศูนย์เพาะเลี้ยงแห่งต่างๆ ทั่วโลก
(ภาพ - รอยเตอร์ส)
      
(ภาพ - รอยเตอร์ส)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - ไชน่า นิวส์)
      
(ภาพ - รอยเตอร์ส)

ที่มา manager.co.th